คอพอก

คอพอก (Goiter) หมายถึง ภาวะที่มีการโตขึ้นของต่อมธัยรอยด์ สามารถแบ่งได้ดังนี้

แบ่งตามลักษณะการโต

ต่อมธัยรอยด์โตทั่วๆไป
  • ต่อมธัยรอยด์โตทั่วๆไป (Diffuse goiter) : หมายถึง ภาวะที่มีต่อมธัยรอยด์โตทั่วๆไป
  • ก้อนเดี่ยวของต่อมธัยรอยด์ (Solitary thyroid nodule) : หมายถึง ภาวะที่มีการโตของต่อมธัยรอยด์เฉพาะที่ มองเห็นเป็นก้อนเดี่ยวๆ โดยที่ส่วนอื่นๆ ของต่อมธัยรอยด์ดูปกติ
  • ก้อนตะปุ่มตะป่ำของต่อมธัยรอยด์ (Multinodular goiter) : มีก้อนหลายๆ ก้อน ทำให้เห็นธัยรอยด์เป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ

แบ่งตามอาการ

  • คอพอกแบบเป็นพิษ (Toxic goiter) : ต่อมธัยรอยด์มีการสังเคราะห์และหลั่งธัยรอยด์ฮอร์โมนมากเกิน จนเกิดอาการใจสั่น เหนื่อยง่าย มือสั่น น้ำหนักลด และอื่นๆ
  • คอพอกธรรมดา (Simple goiter) : คอพอก โดยที่ไม่มีอาการของต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ

ต่อมธัยรอยด์คืออะไร

ต่อมธัยรอยด์ คือต่อมไร้ท่อชนิดหนึ่งของร่างกาย อยู่บริเวณคอด้านหน้า, วางอยู่หน้าต่อหลอดลม, มีน้ำหนักประมาณ 20 กรัม, แบ่งออกเป็น 2 กลีบ ซ้ายกับขวา เชื่อมกันตรงกลางด้วยส่วนคอดที่เรียกว่า isthmus แต่ละกลีบมีขนาดประมาณ 5x2x2 ซม., ต่อมธัยรอยด์มีกล้ามเนื้อปกคลุมอยู่ ทำให้ในภาวะปกติที่ไม่มีธัยรอยด์โต หรือโตน้อย ก็จะมองไม่เห็น ต่อมธัยรอยด์มีหน้าที่สร้างธัยรอยด์ฮอร์โมน โดยใช้ ธาตุไอโอดีน เป็นส่วนประกอบหนึ่ง จากนั้น ก็จะปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด, ฮอร์โมนเหล่านี้ มีหน้าที่กระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน (metabolism) ของเซลล์ ทั่วร่างกาย และจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย

สาเหตุ

คอพอกธรรมดา ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดธาตุไอโอดีน,อาจพบได้ในขณะที่ร่างกาย ต้องการธัยรอยด์ฮอร์โมนเพิ่มขึ้น เช่น ในช่วงวัยรุ่น ขณะตั้งครรภ์, ได้รับสารบางชนิด หรือยาบางอย่าง (ในระยะแรก ต่อมธัยรอยด์จะโตทั่วๆ ไป แต่ต่อมาจะกลายเป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ หรืออาจคลำได้เป็นก้อนเดี่ยวๆ ก็ได้) ก้อนเดี่ยวและก้อนตะปุ่มตะป่ำของต่อมธัยรอยด์ อาจเกิดจาก การขาดไอโอดีน, ถุงน้ำ, ต่อมธัยรอยด์อักเสบ, เนื้องอกธรรมดา หรือมะเร็ง ก็ได้

ภาวะพิษของต่อมธัยรอยด์ อาจเกิดจาก คอพอกเป็นพิษที่เรียกว่า Graves’ disease, เนื้องอกธรรมดาที่ทำงานมากเกิน (Toxic adenoma) หรือคอพอกตะปุ่มตะป่ำที่เป็นมานาน (Toxic multinodular goiter)

อาการและอาการแสดง

ไม่มีอาการอะไร นอกจากพบว่า มีต่อมธัยรอยด์โตขึ้น อาการที่เกี่ยวเนื่องกับต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ คือมีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น มือสั่น กินจุแต่ผอมลง เหงื่อออกมาก ขี้ร้อน หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจมีประจำเดือนลดลง ท้องเดิน และอาจพบการเปลี่ยนแปลงที่ตา เช่น ลูกตาโปน อาการเจ็บที่ก้อน มักพบในคอพอกที่เกิดจากการอักเสบของต่อมธัยรอยด์ หรือมีเลือดออกในก้อน อาการจากการกดเบียดอวัยวะข้างเคียง พบในกรณีที่ก้อนโตมาก อาจมีอาการกลืนลำบาก (กดหลอดอาหาร), หายใจลำบาก (มีการกดเบียดของหลอดลม) อาการจากการลุกลามของก้อน อาจมีอาการเสียงแหบ จากการลุกลามไปที่เส้นประสาทเลี้ยงสาย เสียง, ถ้ามีอาการนี้ มักเป็นมะเร็ง อาการของการกระจายของมะเร็ง อาจพบต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโตขึ้น หรือมีอาการปวดกระดูก

ความสำคัญ

ต่อมธัยรอยด์โต เป็นภาวะที่พบบ่อย พบว่า ประมาณ 4-7% ของประชากร จะมีก้อนที่ต่อมธัยรอยด์ (ประมาณ ครึ่งหนึ่ง จะคลำพบเป็นก้อนเดี่ยวๆ) พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ก้อนเดี่ยวของต่อมธัยรอยด์ มีโอกาสเป็นมะเร็ง ประมาณ 5-10 % ส่วนภาวะต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ มีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยกว่า คือ ประมาณ 1 %

โดยมีโอกาสเป็นมะเร็งในกลุ่มที่

  • มีประวัติเคยได้รับการฉายรังสีบริเวณศีรษะและคอในวัยเด็ก (ถ้ามีก้อนจะพบมะเร็งประมาณ 30-40%)
  • มีประวัติมะเร็งต่อมธัยรอยด์ในครอบครัว
  • ก้อนของต่อมธัยรอยด์ในเพศชายมีโอกาสเป็นมะเร็งบ่อยกว่าเพศหญิง (แต่พบก้อนของต่อมธัยรอยด์ในเพศหญิงได้บ่อยกว่า)
  • อายุ น้อยกว่า 20 ปี หรือมากกว่า 60 ปี
  • ก้อนโตเร็ว หรือมีอาการเสียงแหบ หายใจลำบาก กลืนลำบาก
  • ก้อนแข็ง ติดกับอวัยวะข้างเคียง
  • มีการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้างเคียง

การสืบค้นเพิ่มเติม

  1. การตรวจเลือดดูระดับธัยรอยด์ฮอร์โมน (Thyroid function test) ช่วยบอกว่า มีภาวะพิษของต่อมธัยรอยด์หรือไม่
  2. การเจาะดูดด้วยเข็มเพื่อดูลักษณะเซลล์ FNA (Fine needle aspiration biopsy) มีความสำคัญที่สุด ในการวินิจฉัยแยกว่า ก้อนที่ต่อมธัยรอยด์นั้น เป็นมะเร็งหรือไม่
  3. การตรวจอุลตร้าซาวน์ (Ultrasound) ช่วยบอกขนาด และขอบเขตของก้อน, แยกถุงน้ำจากก้อนเนื้องอก โดยถ้าเป็นถุงน้ำ จะมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยกว่า
  4. การตรวจธัยรอยด์สแกน (Radioisotope scan) ช่วยบอกว่า ก้อนของต่อมธัยรอยด์ ทำงานมากหรือน้อยกว่าปกติ (เรียกว่า hot nodule และ cold nodule ตามลำดับ) โดยที่มะเร็งส่วนใหญ่ จะทำงานน้อยกว่าปกติ
  5. การตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ใช้ในกรณีที่ก้อนใหญ่ หรือมีการกดเบียดอวัยวะข้างเคียง

เมื่อไปพบแพทย์แพทย์จะทำอะไรให้

  1. ประวัติ แพทย์จะสอบถาม อายุและเพศ, ระยะเวลาที่เริ่มเป็น, การเปลี่ยนแปลงของก้อน (โตเร็วหรือช้า), อาการเจ็บที่ก้อน, อาการเหนื่อยง่ายใจสั่น, ประวัติที่ชวนให้สงสัยมะเร็งดังกล่าวแล้ว (ประวัติครอบครัว, ประวัติการฉายแสง), อาการเสียงแหบ, หายใจลำบาก, กลืนลำบาก
  2. การตรวจร่างกาย นอกจากการตรวจร่างกายทั่วๆ ไปแล้ว แพทย์จะให้กลืนน้ำลาย แล้วดูลักษณะของก้อน (เนื่องจากต่อมธัยรอยด์จะเคลื่อนขึ้นลงตามการกลืน) แล้วคลำดูขนาด, ขอบเขตของก้อน, ความอ่อนแข็ง, การมีต่อมน้ำเหลืองโต, อาการและอาการแสดงทางตา ของธัยรอยด์เป็นพิษ
  3. การตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อแยกว่า มีอาการของธัยรอยด์เป็นพิษหรือไม่, เป็นมะเร็งหรือไม่ใช่มะเร็ง
  4. การรักษา เมื่อได้การวินิจฉัยแล้ว แพทย์ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุต่อไป

แนวทางในการรักษา

การรักษาก้อนเดี่ยวของต่อมธัยรอยด์

  1. การผ่าตัด
    - ตรวจพบว่า ก้อนนั้นเป็นมะเร็ง หรือสงสัยว่า จะเป็นมะเร็ง
    - ก้อนมีขนาดใหญ่ กดเบียดอวัยวะข้างเคียง, ยื่นลงไปในทรวงอก
    - เพื่อความสวยงาม
  2. การสังเกตอาการ
    - ในกรณี ที่ตรวจยืนยันว่า ไม่ใช่มะเร็ง ก็ไม่ต้องผ่าตัด สังเกตอาการต่อไปได้ หรืออาจให้ฮอร์โมนของต่อมธัยรอยด์กิน เป็นระยะเวลาหนึ่ง
    - กรณีที่ก้อนโตขึ้น อาจพิจารณาผ่าตัด

การรักษาต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ

  1. การรักษาด้วยยา ใช้ยาต้านธัยรอยด์ เพื่อควบคุมอาการของการเป็นพิษ ระยะเวลาในการให้ยา ประมาณ 1-2 ปี หากไม่หายต้องพิจารณาการรักษาวิธีอื่นต่อไป
  2. การรักษาโดยการผ่าตัด ใช้ในรายที่ก้อนโตมาก มีข้อห้ามต่อการให้สารรังสี
  3. การให้สารไอโอดีนรังสี สารรังสีจะไปทำลายต่อมธัยรอยด์ที่ทำงานมากเกินไป ทำให้หายจากภาวะต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ
โดย นพ.นพวัชร์ สมานคติวัฒน์ ศัลยแพทย์
http://www.thaiclinic.com/Goiter.htm

การรักษาโรคทัยรอยด์เป็นพิษ (thyrotoxicosis)

มี 3 อย่างใหญ่ๆคือ
  1. ใช้ยา จะมียา 2 ประเภท คือ ยาต้านทัยรอยด์ (anti thyroid drug) ก็คือ PTU และ methimazole กับยารักษาอาการใจสั่น ก็คือ propanolol ครับ ปกติการกินยาอาการจะไม่หายทันที ต้องใช้เวลา 3-6 สัปดาห์กว่าจะดูปกติ
  2. การผ่าตัด จะใช้ในกรณีมีก้อนที่คอร่วมด้วย
  3. น้ำแร่กัมมันตรังสี ใช้ในผู้ป่วยที่ใช้ยาไม่ได้ผลครับ ออกฤทธิ์ช้า แต่เดิมจะไม่ใช้ในคนอายุน้อยหรือยังไม่มีบุตร แต่ปัจจุบันมี low dose radioactive ซึ่งใช้ในคนอายุน้อยได้ แต่ก็ยังไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้รักษาเริ่มแรกครับ และหลังจากใช้กัมมันตรังสีมักจะลงท้ายด้วยฮอร์โมนต่ำเกิน ซึ่งต้องทานยาทดแทนฮอร์โมน(Eltroxin) ตลอดไปครับ
โดย นพ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์
http://www.thaiclinic.com/hyperthyroid.html


ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค