โรคคางทูม (Mumps) ICD-10: B26
โรคคางทูม เป็นการติดเชื้อและมีการอักเสบของต่อมน้ำลาย (Parotid gland) ที่อยู่บริเวณกกหู ทำให้บริเวณคางบวม จึงได้ชื่อว่าคางทูม พบในเด็กเป็นส่วนใหญ่
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Paramyxovirus
แหล่งรังโรค
คน
การติดต่อ
โดยทางหายใจ (Droplet spread) และสัมผัสกับน้ำลายของผู้ป่วย
ระยะฟักตัว
ประมาณ 12-25 วัน (โดยทั่วไป 18 วัน)
ระยะติดต่อของโรค
6-7 วันก่อนมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย ไปจนถึง 9 วันหลังจากมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย
อาการและอาการแสดง
ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ ในผู้ที่มีอาการจะมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมา 1-2 วันจะมีอาการปวดหู เจ็บบริเวณขากรรไกร จากนั้นต่อมน้ำลายหน้าหูจะโตขึ้นจนคลำได้ โดยค่อยๆโตขึ้นจนถึงบริเวณหน้าหูและขากรรไกร ประมาณ 1 สัปดาห์จะค่อยๆลดขนาดลง อาการแทรกซ้อนได้แก่ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ (พบได้ประมาณ 1 ใน 6,000 ราย) อัณฑะอักเสบในเด็กชาย วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ (พบได้ประมาณร้อยละ 15-25) บางรายอาจทำให้เป็นหมัน ในหญิงมีครรภ์ การติดเชื้อโรคคางทูมในระยะ 3 เดือนแรกอาจเพิ่มโอกาสการแท้งลูกได้
คำแนะนำสำหรับประชาชน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- วิธีป้องกันดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม ซึ่งเป็นวัคซีนรวม หัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR)
- ให้วัคซีนครั้งที่ 1 เมื่ออายุ 9 เดือน
- ให้วัคซีนครั้งที่ 2 เมื่ออยู่ชั้นประถมปีที่ 1
เกณฑ์ทางห้องปฏิบัติการ
- Serology
- ตรวจ Mumps IgM ตรวจเลือด 1 ครั้งภายใน 1 เดือน วิธี ELISA
- ตรวจพบซีรั่มคู่ไวต่อคางทูม ต่างกันเท่ากับหรือมากกว่า 4 เท่า
- Isolation แยกเชื้อจาก น้าลาย เลือด ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง ในระยะแรกของการป่วย
เอกสารอ้างอิง
- กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการปฏิบัติงานเรื่อง การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค. กรุงเทพมหานคร : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย 2537.
- Beneson, A.S. Control of Communication Diseases in Man. American Public Health Association, Washington, D.C., 1995.315.
- สถานการณ์โรคเด่น 2543 ปีที่ 3 ฉบับ 1-6 กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข
- นิยามโรคติดเชื้อ ประเทศไทย กันยายน 2544 กองระบาดวิทยาและกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข
ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
|