บทนำการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ Urinary tract infections (UTI) เป็นปัญหาสาธารณสุขที่เกิดขึ้นกับคนนับล้านคนในแต่ละปี การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะพบบ่อยเป็นอันดับที่สอง รองจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ พบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าชาย 1ใน 5 ของผู้หญิงจะเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงชีวิต แม้ว่าจะพบไม่บ่อยที่สุด แต่ก็สามารถเป็นอันตรายได้เมื่อเกิดโรคนี้ขึ้น
ระบบทางเดินปัสสาวะประกอบด้วยไต 2 ข้าง (kidney) ท่อสายไต (ureter) กระเพาะปัสสาวะ (bladder) และท่อปัสสาวะ (urethra) อวัยวะที่สำคัญคือไต 2 ข้างมีสีม่วง-น้ำตาล (purplish-brown) อยู่ใต้กระดูกซี่โครงไปทางกลางหลัง ไตจะกรองของเสียออกจากเลือดในรูปของน้ำปัสสาวะ ควบคุมสมดุลย์ของเกลือแร่และสารต่างๆในเลือด ผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดง ท่อสายไตนำปัสสาวะมาเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ ที่มีรูปทรงเป็นถุงสามเหลี่ยมในช่องท้องตอนล่าง เก็บปัสสาวะไว้และปัสสาวะออกทางท่อปัสสาวะ ตามปกติในผู้ใหญ่จะมีปัสสาวะประมาณวันละ 1-1.5 ลิตรและเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับน้ำและอาหาร ตอนกลางคืนจะมีปัสสาวะประมาณครึ่งหนึ่งของปัสสาวะที่เกิดขึ้นตอนกลางวัน สาเหตุของ UTIโดยปกติปัสสาวะจะไม่มีเชื้อโรค ปัสสาวะประกอบด้วยน้ำ เกลือและของเสียและไม่มี แบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา การติดเชื้อเกิดขึ้นเมื่อเชื้อแบคทีเรียจากระบบทางเดินอาหารมาที่ทางเปิดของท่อปัสสาวะและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้น การติดเชื้อมักพบว่าเกิดจากแบคทีเรียเพียงครั้งละชนิดเดียว เช่น Escherichia coli (E. coli) ซึ่งตามปกติอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ในส่วนใหญ่แบคทีเรียจะอยู่ที่ท่อปัสสาวะ การติดเชื้อที่ท่อปัสสาวะเรียกว่า urethritis และย้อนขึ้นไปถึงกระเพาะปัสสาวะ เกิดการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะเรียก cystitis ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีการติดเชื้อต่อขึ้นไปถึงท่อสายไตไปที่ไต การติดเชื้อที่ไตเรียกว่า pyelonephritis เชื้อโรคขนาดเล็กเรียกว่า Chlamydia and Mycoplasma อาจทำให้เกิดโรค UTI ในชายและหญิงแต่โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะติดเชื้อเฉพาะท่อปัสสาวะและระบบอวัยวะสืบพันธุ์ (urethra and reproductive system) ไม่เหมือนกับ E. coli , Chlamydia และ Mycoplasma จะติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ และการรักษาก็จะต้องรักษาทั้งคู่ชายหญิง (both partners) ระบบปัสสาวะมีลักษณะที่จะกำจัดการติดเชื้อได้อยู่แล้ว ท่อสายไตและกระเพาะปัสสาวะโดยปกติจะป้องกันไม่ให้ปัสสาวะไหลย้อนกลับทางไปที่ไตได้ เป็นการชะล้างเอาแบคทีเรียออกไปจากร่างกาย ในผู้ชายต่อมลูกหมาก (prostate gland) จะสร้าง secretiion ที่ป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และในทั้งชายและหญิงระบบภูมิคุ้มกันจะป้องกันการติดเชื้อ แม้ว่าร่างกายจะมีระบบป้องกันเช่นนี้ ก็ยังเกิดการติดเชื้อ UTI ได้ ในเด็กแรกเกิดที่มีอาการ sepsis มีแบคทีเรียในกระแสเลือด อาจเกิดการติดเชื้อที่ไตได้ ใครบ้างที่มีโอกาสติดเชื้อ UTIในบางคนมีโอกาสที่จะติดเชื้อ UTI มากกว่าคนอื่นๆ การที่มีความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสวะ เช่นมีนิ่วในไต หรือต่อมลูกหมากโตทำให้การใหลของปัสสาวะติดขัด เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ที่พบบ่อยก็คือสายสวนปัสสาวะ (catheters) หรือการที่ใส่ท่อไว้ในกระเพาะปัสสาวะ ในคนไข้ที่ปัสสาวะไม่ออก คนที่หมดสติ หรือคนที่ระบบประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน ที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะไว้ตลอด แบคทีเรียที่สายสวนปัสสวะสามารถทำให้ติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะได้ ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงต้องระมัดระวังให้สายสวนปัสสาวะปราศจากเขื้อ และเอาสายสวนปัสสาวะออกให้เร็วที่สุดผู้เป็นเบาหวานเสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะเพราะมีการเปลี่ยนแปลงในระบบภูมิคุ้มกัน ความผิดปกติอื่นๆที่ทำใหัภูมิคุ้มกันลดลงทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ UTI อาจเกิดขึ้นในทารกที่มีความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะมาแต่กำเนิดบางครั้งอาจต้องผ่าตัดแก้ไข ในเด็กชายและวัยรุ่นชายมักไม่ค่อยพบ UTI แต่ในผู้หญิงจะพบว่าอัตราป่วยด้วย UTI เพิ่มขึ้นไปพร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะว่าท่อปัสสาวะในผู้หญิงสั้นกว่าผู้ชายทำให้แบคทีเรียเข้าถึงกระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่า และทางเปิดของท่อปัสสาวะอยู่ใกล้ช่องคลอดและทวารหนัก ในบางคนการร่วมเพศอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ UTI โดยที่สาเหตุยังไม่ชัดเจน ผู้หญิงที่ใช้ Diaphragm ในการคุมกำเนิด เกิด UTI บ่อยกว่าผู้หญิงที่ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นๆ และผู้หญิงที่มีชายใช้ถุงยางอยามัยที่มี spermicidal foam มักจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย E. coli ในช่องคลอด การติดเชื้อ UTI ซ้ำอีกประมาณ 20% ที่เคยติดเชื้อ UTI จะกลับเป็น UTI ซ้ำอีก และ 30% ก็จะเป็นซ้ำอีกครั้ง และในกลุ่มนี้ 80% จะกลับเป็นซ้ำ การติดเชื้อซ้ำมักจะเกิดจากแบคทีเรียคนละชนิดกับครั้งแรก แสดงถึงเป็นการติดเชื้อคนละครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็น E. coliงานวิจัยที่ได้รับทุนจาก National Institutes of Health (NIH) พบว่า UTI เกิ่ยวข้องกับการที่แบคทีเรียเกาะติด กับเซลล์ผิวของท่อปัสสาวะได้ง่ายและเกี่ยวข้องกับกรุ๊ปเลือด ซึ่งจะต้องศึกษากันต่อไป การติดเชื้อ UTI ในระหว่างตั้งครรภ์ระหว่างตั้งครรภ์จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ UTI และเมื่อเกิด UTI ก็มักเกิดขึ้นไปถึงไตทั้งสองข้าง พบว่า 2-4% ของผู้ตั้งครรภ์จะเกิด UTI เชื่อว่าการที่ท่อทางเดินปัสสาวะเลื่อนตำแหน่งไปจากเดิมทำให้แบคทีเรียเข้าไปถึงท่อสายไตและไปถึงไตได้ง่าย จึงควรตรวจปัสสาวะเป็นระยะอาการของ UTIในบางคนก็ไม่มีอาการ แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการเหล่านี้ คืออยากไปปัสสาวะบ่อยๆ ปวดร้อนบริเวณกระเพาะปัสสาวะ ปวดกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะขณะปัสสาวะ ปวดบริเวณกระดูกหัวหน่าว และตึงบริเวณทวารหนัก ปัสสาวะมีครั้งละน้อย ปัสสาวะขุ่น บางครั้งอาจมีเลือดปน อาการไข้แสดงถึงว่ามีการติดเชื้อไปถึงไต อาจปวดหลังบริเวณใต้กระดูกซี่โครง คลื่นไส้ อาเจียนอาการของ UTI ในเด็ก อาจถูกมองข้ามเนื่องจากอาการอื่นๆ เช่น irritable ไม่กินอาหาร ไข้ ปัสสาวะรดที่นอน หรือไม่เติบโตตามวัย การวินิจฉัยโดยการตรวจปัสสาวะ clean catch โดยการล้างมือ และทำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ (penis or vulva) และเก็บ midstream urine โดยปัสสาวะออกไปก่อนเพียงเล็กน้อยแล้วหยุด เอาภาชนะที่ปลอดเชื้อมารองปัสสาวะปริมาณ 10-15 มล. ตามที่ต้องการ และปัสสวะส่วนที่เหลือทิ้งไป เพื่อป้องกันแบคทีเรียจากบริเวณข้างเคียงมาปนเปื้อนในปัสสาวะ ส่งปัสสาวะไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ หรือในบางคลินิกอาจมีเครื่องมือตรวจปัสสาวะได้ จะตรวจหาเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และแบคทีเรีย และส่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย culture (ในผู้หญิงหากเพาะเชื้อขึ้น มีแบคทีเรียชนิดเดียว มีโคโลนีเกิน 105 ต่อ มล.ของปัสสาวะ บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อ) และตรวจสอบยาปฏิชีวนะชนิดต่างๆ ว่ายาปฏิชีวนะชนิดใดสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ดี เรียกว่า sensitivity testChlamydia และ Mycoplasma ต้องใช้ media พิเศษจึงจะเพาะเชื้อได้ จะนึกถึง Chlamydia และ Mycoplasma หากว่ามีอาการ UTI พบเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ และการเพาะเชื้อแบบธรรมดาเพาะเชื้อไม่ขึ้น ถ้าหากสงสัยการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ อาจตรวจย้อม Gram Stain ซี่งตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ได้ผลทันที ถ้า bacteria ติดสีน้ำเงินเรียก gram-positive ถ้าติดสีชมภูเรียก gram-negative ถ้าหากว่ายังไม่หาย อาจจะต้องตรวจดูภาพของระบบปัสสาวะคือ intravenous pyelogram (IVP) ตรวจ x-ray bladder, kidneys, และ ureters และฉีดสี opaque dye เข้าเส้นเลือดและ x-ray ตามกำหนดเวลา จะสามารถเห็นทางเดินระบบปัสสาวะและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินระบบปัสสาวะ ถ้าพบว่าเป็น UTI ซ้ำอีกอาจต้องตรวจอัลตราซาวนด์ เป็นการตรวจหา hydronephrosis (obstructions of the flow of urine) นิ่วในไต และ kidney abscesses ในผู้ชายตรวจ prostate อาจพบว่ามีขนาดโตขึ้นหรือเป็นหนอง (abscesses) ในเด็กอาจพบ vesicoureteral reflux ซึ่งตรวจสอบ valve-like mechanism ของกระเพาะปัสสาวะและท่อสายไต แม้ว่าจะตรวจได้ไม่ชัดเจนเท่าวิธี voiding cystourethrography หรืออาจตรวจด้วยวิธีส่องกล้องตรวจ cystoscopy เพื่อตรวจด้านในของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ ตรวจ structural abnormalities, interstitial cystitis, หรือ ก้อนที่ไม่เห็นโดย x-rays การรักษารักษาด้วยยาปฏิชีวนะขึ้นกับประวัติและผลตรวจเพาะเชื้อปัสสาวะ ส่วนใหญ่คือยา trimethoprim/ sulfamethoxazole, amoxicillin, nitrofurantoin, ampicillin. และกลุ่ม quinolones คือ ofloxacin, norfloxacin, ciprofloxacin,และ trovafloxin ตามปกติมักจะหายใน 1-2 วัน แต่ก็ควรได้ยาต่อไปประมาณ 7-14 วันเพื่อให้เชื้อหมดไป ไม่แนะนำการให้ยาเพียงครั้งเดียว (single dose) ถ้าเกิดจาก Mycoplasma หรือ Chlamydia .ใช้ยา tetracycline, trimethoprim/sulfamethoxazole (TMP/SMZ), หรือ doxycycline อาจตรวจปัสสาวะ (urinalysis) ซ้ำ เพื่อยืนยันว่าโรคหมดแล้วผู้ที่ป่วยมากที่มีการติดเชื้อที่ไต อาจต้องรับไว้ในโรงพยาบาลจนกว่าจะสามารถกินอาหารและยาได้เอง การติดเชื้อที่ไต มักจะต้องได้ยาหลายสัปดาห์ อาจต้องตรวจ Blood Cultures เพื่อตรวจดูว่ามีเชี้อในกระแสเลือดด้วยหรือไม่ ยาหลายชนิดสามารถบรรเทาอาการปวดในระบบทางเดินปัสสาวะ (เช่น pyridium) อาจใช้ heating pad ควรดื่มน้ำให้มาก งดเว้นกาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสจัด ควรงดสูบบุหรี่
การติดเชื้อ UTI ซ้ำในผู้หญิงผู้ที่เคยเป็น UTI ถึง 3 ครั้งมักจะเป็นอีก 4 ใน 5 จะเป็นใหม่ใน 18 เดือน ผู้ที่เป็นบ่อย เช่น ปีละ 3 ครั้งควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้วิธีดังต่อไปนี้
UTI ขณะตั้งครรภ์ต้องรีบรักษาทันทีอาจเกิดคลอดก่อนกำหนด อาจเกิด miscarriage จากบางสายพันธุ์ของ E. coli หรือเกิดความดันโลหิตสูง เนื่องจากมีข้อจำกัดการใช้ยาปฏิชีวนะ จะต้องเลือกยาที่ได้ผลและระมัดระวังผลที่จะไปถึงเด็กด้วยการติดเชื้อ UTI ที่มีสาเหตุมาจากการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะถ้าหากมีการอุดกั้นของท่อทางเดินปัสสาวะหรือระบบประสาทผิดปกติ อาจต้องมีการแก้ไขโดยการผ่าตัด ถ้าไม่รักษาที่ต้นเหตุ จะเสี่ยงต่อการที่จะเกิดไตอักเสบ เชื้ออาจเกิดจากแบคทีเรียได้หลายชนิดและอาจเกิดติดเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิดในคราวเดียว
การติดเชื้อ UTI ในผู้ชายมักจะมีต้นเหตุมาจากการอุดกั้นของท่อทางเดินปัสสาวะ เช่นนิ่วในท่อทางเดินปัสสาวะ หรือต่อมลูกหมากโต หรือจาก การสวนปัสสาวะ ต้องหาเชื้อที่เป็นสาเหตุเลือกยาที่ไวต่อเขื้อ มักจะต้องให้ยานานกว่าผู้หญิงเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ต่อมลูกหมากการติดเชื้อที่ต่อมลูกหมาก รักษายากเพราะยาปฏิชีวนะเข้าไม่ถึงต่อมลูกหมากที่ติดเชื้อ ดังนั้นผู้ชายที่เกิดการติดเชื้อที่ต่อมลูกหมากต้องการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่ถูกต้องและใช้เวลารักษานาน การติดเชื้อในผู้ชายสูงอายุมักมีการติดเชื้อที่ต่อมลูกหมาก ซึ่งอาจเสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษา |
updated: 2014-01-19